
Q&A เรื่อง ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับฟิลเลอร์ทางการแพทย์ ...
ปัญหาผิวหน้าเป็นความกังวลของใครหลายคน โดยเฉพาะรอยสิว รอยดำ และจุดด่างดำที่ทำให้ใบหน้าดูไม่สดใส ปัจจุบันมีวิธีการรักษามากมาย แต่ที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ การรักษาด้วยโปรแกรมเลเซอร์และโปรแกรมเมโส
มาดูกันว่าทั้งสองวิธีนี้มีข้อดีข้อเสียอย่างไร และวิธีไหนเหมาะกับคุณมากกว่ากัน
โปรแกรมเลเซอร์ (Laser) คืออะไร
เลเซอร์ (Laser) เป็นคลื่นพลังงานที่มีความเข้มข้นสูง มีลักษณะเป็นลำแสง มีจุดโฟกัสแม่นยำ โดยความยาวของคลื่นแสงจะมีหลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับชนิดการใช้งานของเลเซอร์ โดยแต่ละชนิดสามารถรักษาปัญหาผิวที่แตกต่างกันออกไป เช่น รักษาสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ จุดด่างดำ ฝ้า กระ หลุมสิว รอยแผลเป็น ริ้วรอย หรือแม้กระทั่งกำจัดขน
โปรแกรมเมโส (Meso) คืออะไร
การฉีดเมโส หรือ Mesotherapy (เมโซธีราปี) คือ กระบวนการทางการแพทย์อีกประเภทหนึ่งที่ใช้ในการฉีดสารวิตามินหรือสารสกัดต่างๆไปยังผิวหนังในระดับลึกถึงชั้นเซลล์ใต้ผิวของใบหน้าเรา โดยการฉีดเมโสจะเป็นการใช้เข็มเล็กๆ ที่จะถูกฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังในจำนวนจุดต่าง ๆ ที่มีปัญหาหรือจุดที่ต้องการรักษา
ทั้งสองวิธีมีข้อดีต่างกัน หากต้องการแก้ไขปัญหาผิวเฉพาะจุดและเห็นผลเร็ว เลเซอร์จะเหมาะสมกว่า แต่หากต้องการบำรุงผิวแบบค่อยเป็นค่อยไปและธรรมชาติ เมโสจะเป็นตัวเลือกที่ดี ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับสภาพผิวและปัญหาของแต่ละคน บางคนอาจจะเห็นผลไว บางคนอาจต้องใช้เวลา ดังนั้นก่อนการทำควรให้หมอประเมินก่อนทุกครั้ง
โปรแกรมเลเซอร์ (Laser) ที่ชาเมอร์ คลินิก (Charmer Clinic) แนะนำ
IPL LASER คือ ระบบลำแสงฟลูออเรสเซนต์ที่มีความเข้มข้นสูงผ่านสารกรองพิเศษเพื่อตัดแสง UV เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของลำแสงด้วย ระบบพลาสมาไลท์ (Plasmalite) ช่วยปรับความยาวของช่วงคลื่นให้ช่วยรักษารอยแดง รอยดำจากสิว หลังจากสิวอักเสบยุบแล้ว ช่วยกระชับรูขุมขนเล็กลง ทำให้ผิวดูเรียบเนียน
Pico Laser (พิโค่ เลเซอร์) เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน โดยมีจุดเด่นที่พลังงานสูงมากและสามารถปล่อยพลังงานได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ตัวเลเซอร์สามารถลดเม็ดสีที่ฝังลึกในผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับการรักษาปัญหาผิวต่างๆ เช่น ผิว ฝ้า กระ รอยดำ ผิวหมองคล้ำ และลบรอยสัก
เป็นเลเซอร์ที่มีความปลอดภัยสูงและสามารถใช้ได้กับทุกสีผิวเช่นเดียวกัน LONG PLUSE ND YAG ไม่เป็นอันตรายต่อผิว มีความยาวของลำแสงเลเซอร์ถึง 1,064 nm และยังเป็นเครื่องเลเซอร์ที่มีความเข้มข้นสูง
LONG PLUSE ND YAG นั้นจะมี Dynamic Cooling Device ซึ่งทำหน้าที่ปล่อยก๊าซเย็นออกมา พร้อมๆ กับการทำเลเซอร์ จึงทำให้กับผิวชั้นบนเย็นสบายไม่รู้สึกเจ็บหรือแสบร้อนขณะที่ทำเลเซอร์
เป็นนวัตรกรรมจากประเทศเกาหลีที่มีสารอาหารมากกว่า 50 ชนิด บำรุงได้ลึกถึง และสารในตัวยาสกัดจากDNA ของปลาแซลมอนซึ่งเป็นสารที่สามารถเข้าได้กับ DNA บนใบหน้าของเรา รวมถึงยังมีสาร HA 1.4 Million dalton weight ที่ผสมผสานกับ Polynucletide, Multivitamin ที่มีความเข้มข้น และสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะเห็นผลภายใน 5-14 วัน
เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ช่วยแก้ปัญหาผิวต่างๆ โดยไม่ต้องผ่าตัด แต่วิธีจะแตกต่างจากการทำเมโสเทอราปี
วิธีการทำ Skin Booster (Meso gun) จะใช้ตัวเครื่องไมโครชิพร่วมกับหัวเข็มขนาดนาโนคริสตัลที่มีจำนวนมากมาย ที่สามารถนำตัวยาเข้าชู่ชั้นผิวหนังได้ถึงชั้นหนังแท้ (Dermis) ทำให้เห็นผลลัพธ์ได้เร็วและมีประสิทธิภาพสูงมากกว่าการฉีดเมโสทั่วไป โดยจะมีด้วยกันทั้งหมด 6 สูตร
คือการฟื้นฟูผิวด้วยพอลินิวคลีโอไทด์(Polynucleotide) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่สกัดมาจาก DNA ของปลาแซลมอน ที่อยู่ในทะเลตามธรรมชาติ ซึ่งมีDNAคล้ายคลึงกับมนุษย์ที่สุด เพื่อช่วยซ่อมแซมผิวในระดับลึก แก้ปัญหาผิวที่เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนใส ฉ่ำวาวและรูขุมขนเล็กลง
Q&A คำถามที่พบบ่อย
การฉีดเมโสเจ็บเล็กน้อยคล้ายถูกยุงกัด ก่อนการฉีดจะมีการทาครีมชาก่อนเพื่อลดความเจ็บ และอาจมีรอยแดงบวมเล็กน้อยที่หายได้เองใน 1-2 วัน
หลังทำเลเซอร์จะรู้สึกแสบร้อนและระคายเคืองผิวประมาณ 1-3 วัน เนื่องจากเลเซอร์เป็นพลังงานความร้อน แต่สามารถหายได้เอง
หากต้องการลดความแสบร้อน สามารถใช้แผ่นประคบเย็น ทาครีมบำรุงและครีมกันแดดตามที่แพทย์แนะนำ ควรหลีกเลี่ยงการเจอแสงแดดในช่วงนี้
การทำเลเซอร์จะเห็นผลชัดตั้งแต่ครั้งแรก แต่เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดควรทำประมาณ 3-6 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 2-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและปัญหาที่ต้องการแก้ไข
โดยแพทย์จะประเมินและวางแผนการรักษาให้เหมาะกับแต่ละบุคคล
ปริมาณที่ใช้ในการฉีดมักจะอยู่ที่ ประมาณ 4-6 CC ต่อครั้ง โดยปริมาณที่ใช้จะขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้าและความต้องการของแต่ละบุคคล เช่น การเพิ่มความชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ และเพิ่มความสดใสให้ผิวหน้า
ไม่สามารถฉีดพร้อมกันได้ค่ะ แนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์งานผิวก่อนและเว้นระยะห่างประมาณ 1 เดือน ถึงจะสามารถฉีดไหมน้ำ (Biostimulator)ได้ค่ะ
บทความที่เกี่ยวข้อง
Q&A เรื่อง ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับฟิลเลอร์ทางการแพทย์ ...
โปรแกรม ไหมน้ำ VS โปรแกรม ฟิลเลอร์งานผิว เลือกแบบไหนดี ...
บทความอื่น ๆ
เทรนด์มาแรง 2025! ส่องวิธีลบรอยสิว รอยดำ จุดด่างดำ ด้วย...
ตอกย้ำความสำเร็จ! Charmer Clinic คว้า 3 รางวัลใหญ่! จาก...
บริการของเรา
หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
บริการของเรา
โปรโมชั่น
BEFORE & AFTER
บทความ
ติดต่อเรา
095-058-3666
095-521-0666
094-696-5322
094-559-8748
093-241-4969
098-154-454
096-016-1666
083-978-0666
© 2024 Charmerclinic Develop by Bp Online Groups
เวลาทำการ
11:00 – 20:00 น.
บริการของเรา
หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
บริการของเรา
โปรโมชั่น
BEFORE & AFTER
บทความ
ติดต่อเรา
095-058-3666
095-521-0666
094-696-5322
094-559-8748
093-241-4969
098-154-454
096-016-1666
083-978-0666
© 2024 Charmerclinic Develop by Bp Online Groups