โปรแกรม ไหมน้ำ VS โปรแกรม ฟิลเลอร์งานผิว เลือกแบบไหนดี ให้เหมาะกับผิวหน้าของเรา?

    การดูแลผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์และสดใสเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญ และหนึ่งในเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันคือ การฉีดผิวหน้า ไม่ว่าจะเป็น โปรแกรมไหมน้ำ หรือ โปรแกรมฟิลเลอร์งานผิว ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากช่วยปรับปรุงสภาพผิวหน้าให้สดใสและกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด การทำความเข้าใจว่าไหมน้ำและฟิลเลอร์งานผิวต่างกันอย่างไร จะช่วยให้คุณเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมกับความต้องการของผิวหน้าได้มากที่สุด

ไหมน้ำ (Collagen Biostimulator) คืออะไร

     ไหมน้ำคือโปรแกรมที่ใช้ไหมละลายขนาดเล็กที่เคลือบด้วยสารไฮยาลูรอนิคแอซิด (Hyaluronic Acid) ฉีดเข้าไปในชั้นผิว เพื่อช่วยยกกระชับและเติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิวดูอิ่มฟู โดยไหมจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวดูเต่งตึง มีความยืดหยุ่น และฟื้นฟูผิวหน้าที่หย่อนคล้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ฟิลเลอร์งานผิว (Skin Booster Filler) คืออะไร

   ฟิลเลอร์งานผิวเป็นการฉีดสารไฮยาลูรอนิคแอซิด (HA) เข้าไปในชั้นผิวตื้น เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้าโดยเฉพาะ ฟิลเลอร์งานผิวจะช่วยให้ผิวดูสดใส เติมเต็มริ้วรอยเล็ก ๆ บนผิวหน้า และทำให้ผิวดูเปล่งปลั่ง มีออร่า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเติมน้ำให้ผิวและฟื้นฟูสภาพผิวให้ดูอ่อนเยาว์

เปรียบเทียบจุดเด่นของไหมน้ำ (ฺBiostimulator) และฟิลเลอร์งานผิว (Skin Booster Filler)

ไหมน้ำ (Biostimulator)

หลักการทำงาน : ช่วยยกกระชับผิวอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ใบหน้าดูคมชัดและมีมิติ

ชั้นของผิวที่ฉีด : ฉีดเข้าสู่ชั้นผิวกลาง เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน 

การกระตุ้นคอลลาเจน : ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น 

การฟื้นตัว : มีระยะการฟื้นตัวประมาณ 2-3 วัน อาจมีรอยช้ำเล็กน้อย 

ระยะเวลาผลลัพธ์ : ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 12-24  เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลหลังการทำ 

ฟิลเลอร์งานผิว (Skin Booster Filler)

หลักการทำงาน : ไม่เน้นยกกระชับ แต่เน้นช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน ชุ่มชื้น ผิวหน้าฉ่ำ 

ชั้นของผิวที่ฉีด : ฉีดเข้าสู่ชั้นผิวตื้น เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวจากภายใน

การกระตุ้นคอลลาเจน : เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ลดเลือนริ้วรอยตื้น ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดี

การฟื้นตัว : ฟื้นตัวรวดเร็วมาก ไม่มีแผลหรือรอยช้ำที่ชัดเจน สามารถทำกิจกรรมปกติได้ทันทีหลังทำ 

ระยะเวลาผลลัพธ์ : ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน ควรทำซ้ำเพื่อรักษาความชุ่มชื้นในระยะยาว

ข้อดีของโปรแกรมไหมน้ำ (Biostimulator)

  • ช่วยยกกระชับใบหน้า ลดความหย่อนคล้อย : ไหมน้ำช่วยในการยกกระชับใบหน้าโดยตรง ส่งผลให้ใบหน้าดูเต่งตึง ผิวแน่นกระชับ มีมิติ และช่วยให้โครงหน้าชัดเจนขึ้น
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน : ไหมน้ำมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและแข็งแรงขึ้น ส่งผลให้ผิวดูสดใส และคงความอ่อนเยาว์ยาวนาน
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับโครงหน้า : การฉีดไหมน้ำจะช่วยให้ใบหน้าดูคมชัดและมีความสมดุลยิ่งขึ้น จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยหรือโครงหน้าไม่ชัดเจน 

ข้อดีของฟิลเลอร์งานผิว (Skin Booster Filler)

  • เติมน้ำและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างล้ำลึก : ฟิลเลอร์งานผิวเน้นให้ผิวมีความชุ่มชื้นจากภายใน ทำให้ผิวหน้าดูสดใส มีชีวิตชีวา และเติมเต็มความชุ่มชื้นที่หายไปจากสภาพแวดล้อมหรืออายุที่เพิ่มขึ้น 
  • ช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า : ฟิลเลอร์งานผิวสามารถลดเลือนริ้วรอยตื้น ๆ ทำให้ผิวดูเรียบเนียน และช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผิวอิ่มฟูและเปล่งปลั่ง  : โปรแกรมฟิลเลอร์งานผิวเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับผิวให้ดูอิ่มฟู มีออร่าและความสดใส เพิ่มความสุขภาพดีให้ผิวหน้า

ไหมน้ำ (Biostimulator) VS ฟิลเลอร์งานผิว (Skin Booster Filler) ควรเลือกแบบไหนดี ?

  • ถ้าต้องการอยากยกกระชับใบหน้าและฟื้นฟูใบหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ควรเลือกไหมน้ำ เพราะโปรแกรมนี้ช่วยให้ใบหน้าดูกระชับและยกขึ้น อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งทำให้ผิวแข็งแรงในระยะยาว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความกระชับของใบหน้าอย่างชัดเจน มีผิวหน้าหย่อนคล้อย หรือคนที่มีอายุ 40+ 
  • ถ้าต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นและฟื้นฟูผิวให้ดูสดใส ฟิลเลอร์งานผิวอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะสามารถเติมน้ำให้ผิว ทำให้ผิวหน้าอิ่มฟู มีความชุ่มชื้น และดูอ่อนเยาว์ ฟิลเลอร์งานผิวจึงเหมาะกับผู้ที่เน้นความเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงใบหน้าอย่างมาก หรือคนที่อยากมีผิวใส ฉ่ำโกลว์ แต่งหน้าติดทน

ข้อควรระวังก่อนการฉีดไหมน้ำ (Biostimulator) หรือ ฟิลเลอร์งานผิว (Skin Booster Filler)

  • เลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและมีความน่าเชื่อถือ 

ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคลินิกที่ใช้บริการมีมาตรฐานและใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจากองค์กรที่เชื่อถือได้ รวมถึงแพทย์ผู้ทำการฉีดควรมีประสบการณ์และใบอนุญาตอย่างถูกต้อง

  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ

ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังก่อนว่าหมาะสมกับสภาพผิวของคุณมากที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงและให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด 

     การเลือก โปรแกรมไหมน้ำ หรือ ฟิลเลอร์งานผิว ควรพิจารณาจากความต้องการและสภาพผิวของแต่ละบุคคล หากคุณต้องการยกกระชับใบหน้าและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ไหมน้ำจะเหมาะสมกว่า แต่หากคุณต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นและฟื้นฟูผิวให้เปล่งปลั่ง ฟิลเลอร์งานผิวจะเป็นตัวเลือกที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การดูแลผิวด้วยวิธีนี้ควรทำอย่างปลอดภัยและอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญเสมอ เพื่อให้คุณได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและปลอดภัย

Q&A คำถามที่พบบ่อย

โปรแกรมไหมน้ำ อยู่ได้นานแค่ไหน ?

โปรแกรมไหมน้ำ  ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏหลังฉีดประมาณ 4-8 สัปดาห์   และคงอยู่ได้นาน 1-2 ปี   ขึ้นอยู่กับชนิดของ Collagen Biostimulator   และการดูแลแต่ละบุคคล

โปรแกรมฟิลเลอร์งานผิว อยู่ได้นานแค่ไหน ?

โปรแกรมฟิลเลอร์งานผิว ผลลัพธ์โดยเฉลี่ยจะอยู่ได้ประมาณ  4-12 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองและยี่ห้อผลิตภัณฑ์ที่เลือกฉีด

โปรแกรมไหมน้ำ (Aesthefill) ต้องฉีดกี่ CC ?

ปริมาณของไหมน้ำที่ต้องใช้จะขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้าและปัญหาของแต่ละบุคคล โดยปกติแล้วแพทย์จะพิจารณาอย่างละเอียดเพื่อประเมินปริมาณที่เหมาะสมที่สุด แต่โดยทั่วไปไหมน้ำมักใช้ ประมาณ 10-20 CC ต่อครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ เช่น ยกกระชับผิว เพิ่มความชุ่มชื้น และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

โปรแกรมฟิลเลอร์งานผิว ต้องฉีดกี่ CC ?

ปริมาณที่ใช้ในการฉีดมักจะอยู่ที่ ประมาณ 4-6  CC ต่อครั้ง โดยปริมาณที่ใช้จะขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้าและความต้องการของแต่ละบุคคล เช่น การเพิ่มความชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ และเพิ่มความสดใสให้ผิวหน้า

ฟิลเลอร์งานผิว กับ ไหมน้ำ ฉีดพร้อมกันได้ไหม ?

ไม่สามารถฉีดพร้อมกันได้ค่ะ  แนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์งานผิวก่อนและเว้นระยะห่างประมาณ 1 เดือน ถึงจะสามารถฉีดไหมน้ำ (Biostimulator)ได้ค่ะ

รีวิว จากผู้รับบริการจริง 

บทความที่เกี่ยวข้อง

  • All Posts
  • ฟิลเลอร์

บทความอื่น ๆ

  • All Posts
  • ข่าวสาร
  • ปรับรูปหน้า
  • ฟิลเลอร์
  • สลายไขมัน
  • เมโสหน้าใส
  • เลเซอร์